เพราะ ‘พลังงานไม่ได้ดับสูญ’
ดังนั้นความตายจึงไม่ใช่การลาจากครั้งสุดท้าย
ถึงเวลาค่อยๆ ทบทวนการเดินทางของชีวิต ด้วยการทำทุกวินาทีของลมหายใจให้มีคุณค่า งอกงาม และน่าจดจำ เชื่อสิ! แม้ต่อจากนี้ต้องตายจาก คุณจะไม่รู้สึกกลัวหรือเสียดายอีกต่อไป
มนทิรา : พุทธศาสนาแบบเถรวาทและวัชรยานแบบทิเบต มองความตายในทัศนะที่สอดคล้องกัน กล่าวคือ ความตายมิได้หมายถึงการดับสูญ
แม่ชีศันสนีย์ : ในของคู่กัน คือการเกิดและการตาย มันจะทำให้เราได้ใช้การเกิดอย่างมีคุณค่า…ในทุกๆ ลมหายใจของเรา เพื่อให้ในแต่ละขณะที่เห็นคุณค่า มันมีความตายอย่างที่ไม่ตายทั้งเป็น มันจะสำคัญอะไรกับการตายสุดท้าย ถ้าในทุกๆ การตายในแต่ละขณะนั้น มันทรงพลังและมีคุณค่า
พลังงานไม่ได้ดับสูญ แต่มันกลับกลายเป็นการเพิ่มสิ่งที่มันทรงพลังของการใช้ชีวิต อย่างที่เห็นคุณค่าในการบริหารกรรมของตัวเองในแต่ละขณะ คือในขณะที่เรามองความตาย เราจะมองไปถึงปลายทาง แต่สำหรับเรา คุณแม่มองว่าการตายอยู่ตรงนี้ อยู่ที่ปัจจุบันขณะ เพราะเกิด-ตายคือแพ็กเก็จเดียวกัน ได้การเกิดมันก็ได้การตายมาด้วย เมื่อคุณมี สิ่งที่คุณมีมันเสื่อมไปด้วย มันสลายไปด้วย แต่ในขณะที่คุณยังบริหารกรรมที่คุณเห็นว่าคุณยังมีโอกาสที่จะใช้สิ่งที่คุณมีนั้นอย่างทรงพลังที่สุด มีคุณค่าต่อการมีชีวิตที่ได้มา และกำลังเดินทางไปสู่การจบของชีวิตในแต่ละปัจจุบันขณะ ที่เห็นการเกิดดับอย่างฉับพลัน คุณจะเคารพเวลาที่คุณเหลืออยู่ คือการเคารพเวลาที่ยังเหลืออยู่มันจะไม่เป็นความกลัว อย่าทำให้ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ความตายเป็นของที่ได้มากับการเกิด เมื่อคุณเห็นการเกิด-ดับอย่างฉับพลันในแต่ละขณะที่คุณใช้ชีวิตอย่างทรงพลัง คุณจะเห็นว่าพลังงานที่มันไหลไปตามความเป็นจริง คือ การเกิด-ดับ เกิด-ดับ มันจะทำให้มีพลังงานของการใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท เพราะการเคารพมันสูงสุด
เวลาที่เราเห็นศรัทธาในการมีชีวิตอยู่อย่างไม่ตายทั้งเป็น เราจะมองการอยู่อย่างทรงพลัง
อยู่อย่างมีคุณค่า
อยู่อย่างงอกงาม
อยู่อย่างกล้าคืน ไม่ฝืนไว้
อยู่อย่างรู้บทบาทของตัวเอง
ไม่ว่าจะเผชิญความจริงของโลกในกรณีไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกรณีได้ กรณีเสีย เพราะได้-เสียก็เป็นของคู่กัน ถ้าคุณเผชิญกับความจริงได้ เช่น ได้ลาภคุณก็ไม่ฟู เสียลาภคุณก็ไม่แฟบ อย่างนี้คือการเคารพ ได้มาก็เคารพ หายไปก็เคารพ นี่คือการทดลอง อย่างคนที่อยู่อย่างเคารพความจริง
เวลาที่ความจริงบอกว่า ในการได้มีการเสีย การมีชีวิตมันก็มีการใช้ชีวิตอย่างเคารพชีวิตได้ถ้าคุณคิดว่าการได้ชีวิตมามันมีการตายมาด้วย คุณจะไม่รอการตายสุดท้าย เพราะมันเป็นเรื่องที่คุณต้องทำให้ได้ คือคุณต้องไม่ตายทั้งเป็นในแต่ละขณะ อย่างคนที่มีศรัทธาและปัญญาในการบริหารชีวิตที่จะอยู่กับโลกอย่างที่มีการได้การเสีย แล้วทรงไว้ซึ่งความเป็นปกติที่สุด
เพราะเหตุใด…การตายจึงไม่ใช่การสูญเสีย
ดังนั้น เกิด-ตายสำหรับข้าพเจ้าแล้วมันปกติมากเลยนะ มันเป็นความปกติ แต่ในความปกติที่เราอาจหาญอย่างไม่กลัว มันต้องไม่ประมาท และเพราะความอาจหาญที่ไม่ประมาท มันจึงมีปัญญาในการจัดการ ที่จะเห็นการเกิด-ดับอย่างฉับพลัน อย่างไม่เผลอเพลิน ไม่พร่ำเพ้อถึง ไม่เมาหมกติดอกติดใจ ไม่ตีอกร่ำไห้ฟูมฟายเพราะความลืมหลง คืออารมณ์แบบชาวบ้านมันจะไม่เกิด คือไม่ใช่มันไม่เกิด แต่มันเกิดแล้วดับเร็ว มันจะไม่เป็นอุปนิสัยตามส่งให้เราต้องไปอยู่ในนรกทั้งๆ ที่เรายังไม่ตายน่ะ คนที่ฟูแล้วเผลอเพลิน หรือคนที่แฟบแล้วตีอกร่ำไห้มันนรกนะ เพราะฉะนั้นการที่เรามีปัจจุบันขณะที่ถอนอวิชชาได้ แล้วก็สามารถที่จะมองเห็นการตายเป็นพลังงาน การตายจึงไม่ใช่การสูญเสีย แต่การตายเป็นพลังงานที่เราต้องบริหารการมีชีวิตที่ดำรงอยู่อย่างไม่ตายทั้งเป็น
มนทิรา : จริงหรือไม่ ที่ตายแล้วไม่ดับสูญ
แม่ชีศันสนีย์ : ถ้าเรายืนยันได้ว่า ในทุกความคิด ในทุกการกระทำ ในทุกคำพูด มันมีผล การทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีผล การตายมันก็มีผลรออยู่
ตายเป็นพลังงาน ถ้าการตายปรากฏอยู่ตรงนี้ มันก็มีผล คือการเคลื่อนพลังงานไปสู่การปฏิสนธิทันที การตายคือการเปลี่ยนขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่ง มันยืนยันไงว่ามันไม่ดับสูญ เพราะมันมีพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เหมือนเราทำกรรม มันก็มีผลของกรรมรออยู่
บางส่วนจาก หนังสือ The Book of Truth
บทสนทนาว่าด้วย ความรัก ความจากพราก และความตาย
เรื่อง : แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
สนทนา : มนทิรา จูฑะพุทธิ
