กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…
ฉันได้อ่านนิตยสารหัวนอกเล่มหนึ่ง ตีพิมพ์เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง
เนื้อเรื่องในบทความบรรยายถึงการอุทิศตนเพื่อสาธารณกุศลของท่าน ทั้งเรื่องของการช่วยเหลือคนยากไร้ การให้การศึกษา การพยาบาลผู้เจ็บป่วย และการสร้างสื่อคุณธรรมเพื่อใช้พุทธธรรมนำสังคม ภายใต้องค์กรทางศาสนา ชื่อ ‘มูลนิธิเมตตาสงเคราะห์ (ฉือจี้) พุทธศาสนาไต้หวัน’
นิตยสารเล่มนั้นถูกเก็บลืมไว้ในห้องหนังสือ
เหมือนกับที่ความคิดถูกเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ
หวังว่าสักวัน คงมีโอกาสได้กราบภิกษุณี ‘ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน’ และได้ไปไต้หวันเพื่อเรียนรู้การทำงานของท่าน
15 ปีผ่านไป เวลานั้นก็มาถึง…
ห้องรับรองภายในโรงพยาบาลไถจง
ห้องสี่เหลี่ยมนั้นกว้างขวาง ชุดรับแขกวางอยู่กลางห้อง อาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฉือจี้ และอาคันตุกะจากประเทศไทยยืนเรียงแถวเป็นระเบียบ
ตื่นเต้นจัง
นั่นอาจเป็นเพราะว่า…การได้พบใครสักคนที่เราอยากพบ และจะได้พบเป็นครั้งแรก ทำให้หัวใจเต้นแรง
ไม่เกิน 10 นาที ภิกษุณีที่ฉันตั้งตารอคอยมา 15 ปีก็ก้าวออกมาจากช่องประตู
ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน
ฉันทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าท่านธรรมาจารย์อายุ 71 ปีเข้าแล้ว จึงคาดหวังว่าจะได้เห็นนักบวชหญิงซึ่งชราตามวัย ที่ไหนได้ ร่างแบบบางหากสูงโปร่งที่เดินมาทักทายผู้มาเยือนนั้นดูกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว และมีพลังเหลือเกิน ท่านเดินหลังตรง สง่า และใบหน้าสงบ

ท่านเชื้อเชิญให้พวกเรานั่งตามสบาย จากนั้นท่านจึงนั่งลงบนเก้าอี้ในตำแหน่งตรงหน้า
ท่านธรรมาจารย์เอ่ยทักเป็นประโยคแรกว่า
“ยินดีต้อนรับสู่ไต้หวัน”
จากนั้นท่านกล่าวต่อว่า
“ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งศาสนาพุทธ ด้วยทุนเดิมนี้ ถ้าเราตั้งใจทำก็ค่อนข้างที่จะง่าย เพื่อให้จิตวิญญาณของพระพุทธองค์ปรากฏขึ้นในแผ่นดิน”
ยังมิทันจะได้สนทนาต่อ ก็ถึงเวลาต้องฉันเพล คณะทำงานของท่านธรรมาจารย์จึงนำคณะคนไทยไปยังห้องรับประทานอาหาร (ซึ่งทราบภายหลังว่าคือห้องประชุม) โดยมีท่านธรรมาจารย์เดินนำหน้า
ฉันรั้งท้าย เดินขึ้น-เดินลงบันไดตามทุกคนไป เนื่องจากช่วงเวลาที่ไปเยือนนั้น เป็นกาลที่ท่านธรรมาจารย์สอนเรื่องการประหยัดพลังงาน ทุกคนจึงปฏิบัติตามด้วยการงดใช้ลิฟท์
ผู้นำทำให้ดู
เมื่อถึงห้องประชุม ปรากฏว่าคณะแพทย์และพยาบาลจำนวนกว่า 50 คนได้นั่งประจำที่แล้ว ฉันหลบมายืนอยู่มุมห้องด้วยจะเก็บภาพบรรยากาศ หากมิสเตอร์โหลว อาสาสมัครใจดีของมูลนิธิฉือจี้เห็นอาการเก้ๆ กังๆ ของฉันเข้า จึงจูงมือให้มานั่งด้านหน้าซึ่งยังมีที่ว่าง เป็นตำแหน่งที่ถ้าหันหลังไปก็จะเห็นท่านธรรมาจารย์พอดี
โต๊ะประชุมถูกจัดวางเป็นรูปตัวยู โดยให้ผู้เข้าร่วมประชุมหันหน้าชนกันเป็นคู่ๆ
บนโต๊ะ มีกล่องอาหารสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินวางอยู่
ความเงียบเข้าแทรกชั่วขณะ
ทุกคนก้มหน้านิ่ง สวดมนต์ก่อนรับประทานอาหาร
ฉันได้รับการบอกเล่าจนจำได้ขึ้นใจว่า ธรรมเนียมการรับประทานอาหารของที่นี่ จะไม่มีการเหลือทิ้ง หากสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้เพิ่มเติมก็คือ ความมีวินับและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการรับประทานอาหาร ทำใหเกิดความพร้อมเพรียงอย่างงดงาม
ฉันสังเกตวิธีการของอาสามสมัครที่นั่งอยู่ตรงหน้า แล้วจึงลงมือปฏิบัติตตาม ด้วยการกดเปิดฝาทั้งสี่ด้านให้กระดกออก แล้วซ้อนฝาไว้ใต้กล่องเพื่อจะได้ไม่เกะกะผู้อื่น
ฉันใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากเหมือนที่ทุกคนกำลังทำ ต่างคนต่างรับผิดชอบกับอาหารเจตรงหน้า ต่างกอนด้วยความสงบและสำรวม
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักการกินอย่างมีสติ

ท่านธรรมาจารย์ทำงานต่อทันทีที่ฉันเสร็จ ด้วยการนั่งฟังรายงานจากคณบดี ซึ่งแนะนำแพทย์ทั้ง 36 คนที่จะมาอบรมเป็นอาสาสมัคร
แพทย์แต่ละคนได้รับเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมในการเสียสละของพวกเขา ฉันสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมของการยกย่องและให้เกียรติคนทำงาน
มีเพียงรายเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม เนื่องจากกำลังผ่าตัดคนไข้
ท่านธรรมาจารย์กล่าวอย่างมีอารมณ์ขันว่า
“บอกหมอคนนั้นว่าค่อยๆ ผ่านะ ไม่ต้องรีบ”
อาสาสมัครหัวเราะกันทั้งห้อง
หลังจากพิธีการขอบคุณอาสาสมัครของคณะแพทย์และพยาบาลจบลง ท่านธรรมาจารย์ก็ยืนขึ้นเพื่อให้โอวาท
“อาตมาขอขอบใจในความทุ่มเทของทุกๆ คนเป็นอย่างมาก พอได้รู้ว่าพวกเราทุกคนจะฝึกอบรม ก็ต้องถามว่า ทุกคนเข้าใจคำว่า ‘อบรม’ มั้ย รู้มั้ยอบรมแปลว่าอะไร และอบรมอะไรบ้าง
“การอบรมก็เพื่อเป็นการถ่ายทอด สืบสานต่อแนวความคิดและจิตวิญญาณของฉือจี้ เราเริ่มต้นเมื่อ 42 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงปัจจุบัน จากจุดเริ่มต้นก็ค่อนข้างที่จะลำบาก ตอนที่เริ่มต้นจะเป็นรุ่นบุกเบิกที่ลำบากมากๆ เราเริ่มต้นจากไม่มี…กระทั่งมี บางคนบอกว่าฉือจี้ใหญ่โตมาก แต่เขาไม่รู้ว่าตอนที่เริ่มต้นนั้นฉือจี้ไม่มีอะไรเลย แล้วคนที่พูดว่าฉือจี้ใหญ่โตนั้นก็อายุยังไม่ถึง 42 ปี การที่องค์ของฉือจี้ใหญ่ขนาดนี้ เรื่องระเบียบวินัย เรื่องกฎกติกา จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมี ด้วยการอบรมแบบนี้ จึงทำให้คนของฉือจี้ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไปทั่วเกาะไต้หวัน หรือไปต่างประเทศ คนมักจะทักว่า คนกลุ่มนี้มาจากที่ไหน เพราะเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
“องค์กรของฉือจี้ใหญ่ขนาดนี้แล้วเป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างไร ก็ด้วยการใช้ศีลเป็นตัวกำหนด และใช้ความรักเป็นตัวปกครอง
“ทุกๆ การกระทำจะต้องเริ่มจากจิตใจที่งดงาม เราต้องรู้จักอดกลั้น และรู้จักมารยาทเพื่อที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ดีงามของฉือจี้ให้สืบเนื่องต่อๆ ไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมีการอบรม ก็เพื่อให้มีจิตวิญญาณของความเป็นฉือจี้”

เสียงท่านธรรมาจารย์กล่าวอบรมต่อไปว่า
“ในช่วงนี้ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เรามีกิจกรรมแผ่เมตตาทั่วเกาะไต้หวัน มีการมาปวารณาตัวเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ ซึ่งอาตมาขอขอบคุณมาก เพราะถ้าไม่มีการปวารณาตัว ก็จะไม่มีศิษย์ ไม่มีอาจารย์
“ตอนนี้มีมูลนิธิฉือจี้ 45 ประเทศทั่วโลก เราจะบริหารให้คนมีจริยธรรมได้ ก็ด้วยการใช้ศีลเป็นตัวกำหนด ใช้ศีลเป็นหลักในการบริหาร มีโรงพยาบาลฉือจี้ที่จีนแผ่นดินใหญ่ คุณหมอก็มาอบรมที่นี่ คนของฉือจี้ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่หรือที่ต่างประเทศ จิตใจต้องงดงาม ความดี ความงาม ความจริงจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการอบรม ต้องซื่อตรง ต้องสมถะ การอุทิศตนเป็นพื้นฐานของอาสาสมัคร และต้องการการศึกษามาช่วยพัฒนาด้วย การช่วยเหลือผู้คนต้องเกิดจากจิตใจอย่างแท้จริง ความซื่อสัตย์สามารถทำให้วิญญาณของฉือจี้เป็นหนึ่งเดียว เราต้องรู้จักอดกลั้นตัวเอง และการปฏิบัติต้องมีมารยาท มีระเบียบวินัย ถ้าเป็นเช่นนี้ องค์กรก็จะสวยงาม
“เราไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนแค่ชาวไต้หวันเท่านั้น แต่ช่วยคนทั้งโลก ช่วยมนุษยชาตอ คือต้องช่วยให้คนมีความสุข ฉะนั้นการอบรมจะมีขั้นตอน ก็หวังว่าทุกคนจะอดทนกันหน่อย เพราะนี่คือภารกิจที่เราต้องแบกเอาไว้ โรงพยาบาลเป็นของพวกเรา ผู้ป่วยเป็นญาติของเรา เป็นครอบครัวของเรา จงดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจกรุณา เราต้องช่วยคนยากไร้ด้วยหัวใจ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทำได้มั้ย”
มีเสียงตอบรับจากแพทย์พยาบาลโดยพร้อมเพรียงัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
สุดท้าย ท่านธรรมาจารย์กำชับว่า
“ต้องตั้งใจนะ…ต้องตั้งใจ”

จากนั้นท่านธรรมาจารย์มอบของที่ระลึกให้กับคณะแพทย์และพยาบาล เป็นการ์ดสีแดงกว้าง 6 ซม. ยาว 4 ซม.เมื่อเปิดออกจะพบเหรียญเงิน 5 หยวน ภาษาจีนสำเนียงฮกเกี้ยน มีความหมายว่า ‘บุญสัมพันธ์’
ความเมตตาของท่าธรรมาจารย์เผื่อแผ่มายังทุกคน ด้วยการมอบของที่ระลึกให้คณะจากเมืองไทย นอกจากการ์ดบุญสัมพันธ์แล้ว ท่านยังมอบการ์ดอีกแผ่น ซึ่งภายในบรรจุเหรียญทองสัญลักษณ์ของฉือจี้ รวมทั้งปฏิทินแม่เหล็กแบบพกพาติดตัว และสร้อยข้อมือ
ฉันซึ่งถ่ายรูปอยู่ตรงข้าม กำลังกดชัตเตอร์เก็บภาพอยู่ ได้รับการเรียกให้เข้าไปรับของ
ฉันแบมือออกทั้งสองมือด้วยความเคารพ ท่านวางของที่ระลึกให้ ครั้นถืงสร้อยข้อมือ ท่านสวมให้เรียบร้อย
ใจกระหวัดไปถึงตอนรับของที่ระลึกจากองค์ทะไลลามะ ฉันแบมือออกทั้งสองข้างด้วยความเคารพเพื่อรับมอบพระพุทธรูปองค์เล็กจากท่าน พระองค์เห็นสายสิญจน์ทิเบตที่ฉันผูกที่ข้อมือ ท่านทรงชี้แล้วสรวลเล็กน้อยเป็นทำนองว่าเราเป็นชาวทิเบตเหมือนกัน
ฉันยิ้มด้วยความปลื้มใจ…ต่อทั้งสองเหตุการณ์ ที่แม้จะเกิดขึ้นต่างกรรม ต่างวาระ แต่ก็ให้ความรู้สึกเต็มตื้น
ระยะเวลาแม้จะไม่ถึงสองชั่วโมงกับการได้พบ ได้เห็นวิธีการทำงาน ได้ฟังธรรมบรรยายจากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน นับเป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย
ฉันยังคงรู้สึกประทับใจไม่หายแม้ขณะนั่งอยู่บนเครื่องบินในยามค่ำคืนที่เครื่องกำลังทะยานขึ้นจากพื้น มองจากช่องหน้าต่าง เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่กำลังวิบวับด้วยแสงไฟค่อยๆ กลายเป็นจุดเล็กๆ และมืดหายไปในที่สุด
เสียงสัญญาณไฟดับลง หากฉันลืมตาในความมืด สร้อยข้อมือเนื้อเขียวใสราวหยกที่ได้รับจากท่านธรรมาจารย์ส่องสว่างท่ามกลางความมืด ฉันยกข้อมือขึ้นเพื่อดูใกล้ๆ มารู้ (ความจริง) ในภายหลังว่าเป็นสร้อยรีไซเคิล ทำมาจากหน้าจอโทรทัศน์
มิน่า ถึงได้เรืองแสง!
ฉันจับลูกปัดกลมๆ บนสร้อยเส้นนั้น
แล้วยิ้ม
บางส่วนจาก หนังสือ ‘บันทึกแห่งรักและเมตตา…ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน’
ผู้เขียน : มนทิรา จูฑะพุทธิ